HTML คือ อะไร

บทนำ

html

HTML (HyperText Markup Language) เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับสร้างและจัดโครงสร้างของหน้าเว็บบนอินเตอร์เน็ต เป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้เว็บเบราว์เซอร์สามารถแสดงข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ข้อความ ภาพ และวิดีโอ ให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงและโต้ตอบกับเนื้อหาที่เผยแพร่ผ่านเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โครงสร้างของ HTML นั้นประกอบไปด้วย “แท็ก” (Tags) ที่บอกให้เบราว์เซอร์รู้ว่าจะจัดเรียงหรือแสดงเนื้อหาในหน้าเว็บอย่างไร โดยทุกองค์ประกอบในหน้าเว็บ เช่น หัวข้อย่อหน้า ลิงก์ และตาราง จะต้องมีโครงสร้างที่กำหนดผ่านภาษา HTML เพื่อให้ระบบอินเตอร์เน็ตเข้าใจและแสดงผลได้อย่างถูกต้อง

ด้วยความสามารถในการจัดการเนื้อหาให้แสดงผลได้หลากหลาย HTML จึงเป็นเทคโนโลยีที่มีความยืดหยุ่นและยังคงมีการพัฒนาอยู่เสมอ ปัจจุบัน HTML ได้รับการปรับปรุงจนถึงเวอร์ชัน HTML5 ซึ่งเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแสดงผล ไม่ว่าจะเป็นการฝังวิดีโอ เสียง และกราฟิกส์ในตัว ทำให้ HTML ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับนักพัฒนาเว็บในยุคดิจิทัล

HTML คือ อะไร

HTML ย่อมาจาก HyperText Markup Language ซึ่งมีความหมายตามแต่ละคำที่เกี่ยวข้องดังนี้:

  1. H – HyperText: “ไฮเปอร์เท็กซ์” หมายถึงข้อความหรือข้อมูลที่มีลิงก์เชื่อมโยง (Links) ไปยังหน้าอื่น ๆ หรือเนื้อหาอื่นบนอินเตอร์เน็ต โดยลิงก์นี้ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเคลื่อนย้ายระหว่างหน้าเว็บต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย ตัวอย่างของไฮเปอร์เท็กซ์คือ การคลิกลิงก์เพื่อไปยังหน้าเว็บใหม่ ซึ่งถือเป็นฟังก์ชันหลักของ HTML ในการสร้างโครงข่ายของเนื้อหาที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก
  2. T – Text: “เท็กซ์” หมายถึงเนื้อหาหลักที่แสดงบนหน้าเว็บ HTML มุ่งเน้นการจัดโครงสร้างเนื้อหาในรูปแบบข้อความเป็นหลัก ซึ่งอาจประกอบไปด้วยย่อหน้า หัวข้อ หรือลิสต์ เนื้อหาประเภทนี้จะใช้แท็กต่าง ๆ เพื่อให้ข้อมูลเป็นระเบียบและง่ายต่อการอ่านและนำไปแสดงผลบนเบราว์เซอร์
  3. M – Markup: “มาร์กอัป” เป็นรูปแบบคำสั่งที่ใช้แท็ก (Tags) เพื่อบอกโครงสร้างและการแสดงผลของข้อมูล คำสั่งเหล่านี้ไม่ถูกมองเห็นในหน้าเว็บโดยตรงแต่จะกำหนดวิธีการแสดงผลของเนื้อหา เช่น การทำให้ข้อความเป็นตัวหนา ตัวเอียง หรือการจัดระเบียบเนื้อหาด้วยแท็กต่าง ๆ การใช้มาร์กอัปช่วยให้เนื้อหามีโครงสร้างที่ชัดเจนสำหรับเบราว์เซอร์ในการประมวลผล
  4. L – Language: “ภาษาคอมพิวเตอร์” ในที่นี้หมายถึงระบบคำสั่งหรือโค้ดที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างผู้สร้างเว็บกับเบราว์เซอร์ HTML จัดเป็นภาษาที่ใช้ในการเขียนโครงสร้างหน้าเว็บ ซึ่งไม่ใช่ภาษาการเขียนโปรแกรมเชิงตรรกะแต่เป็นภาษาที่เน้นการจัดวางเนื้อหาเพื่อการแสดงผล

ดังนั้น HTML คือ ภาษาโครงสร้างที่สำคัญของหน้าเว็บที่ช่วยในการจัดระเบียบและแสดงผลเนื้อหาบนอินเตอร์เน็ตอย่างเป็นระบบ

การพัฒนา HTML

HTML ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงมาหลายเวอร์ชันเพื่อรองรับการใช้งานและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยแต่ละเวอร์ชันมีการเพิ่มเติมฟีเจอร์และปรับปรุงประสิทธิภาพการแสดงผลให้ดียิ่งขึ้น ดังนี้:

  1. HTML 1.0 (1991) – เวอร์ชันแรกสุดของ HTML ถูกพัฒนาขึ้นโดย Tim Berners-Lee เพื่อสร้างโครงสร้างเอกสารแบบพื้นฐานบนอินเตอร์เน็ต โดยรองรับแท็กพื้นฐานเพียงไม่กี่ประเภท เช่น ลิงก์และการแบ่งย่อหน้า แต่ยังมีข้อจำกัดมากในด้านการจัดรูปแบบ
  2. HTML 2.0 (1995) – เป็นเวอร์ชันมาตรฐานแรกที่ได้รับการยอมรับจากสถาบัน IETF (Internet Engineering Task Force) HTML 2.0 เพิ่มฟังก์ชันหลายอย่าง เช่น การสร้างฟอร์มเพื่อให้ผู้ใช้กรอกข้อมูล และการจัดรูปแบบพื้นฐาน จึงเหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น
  3. HTML 3.2 (1997) – ได้รับการรับรองโดย W3C (World Wide Web Consortium) และเป็นเวอร์ชันที่เพิ่มความสามารถในการแสดงผลและการจัดรูปแบบหน้าเว็บได้ดีขึ้น เช่น การสนับสนุนตาราง (Table) และการจัดรูปแบบข้อความ HTML 3.2 ทำให้การสร้างเว็บไซต์มีความยืดหยุ่นและดูเป็นระเบียบมากขึ้น
  4. HTML 4.01 (1999) – เป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ที่เน้นการจัดโครงสร้างของหน้าเว็บให้เหมาะสมกับการเข้าถึงข้อมูล เช่น การสนับสนุน CSS (Cascading Style Sheets) เพื่อช่วยในการแยกโครงสร้าง HTML ออกจากการออกแบบ ทำให้ HTML มีบทบาทในการจัดโครงสร้างหน้าเว็บโดยตรง ขณะที่ CSS รับหน้าที่ในการกำหนดรูปแบบ
  5. XHTML (2000) – XHTML เป็นเวอร์ชันที่เข้มงวดกว่า HTML โดยผสมผสานโครงสร้างของ HTML เข้ากับมาตรฐาน XML (eXtensible Markup Language) เพื่อให้มีการจัดโครงสร้างที่เป็นระเบียบ XHTML ช่วยให้เว็บไซต์มีมาตรฐานที่เข้มงวดและรองรับการใช้งานข้ามแพลตฟอร์มได้ดีขึ้น
  6. HTML5 (2014) – เป็นเวอร์ชันล่าสุดที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง HTML5 ได้รับการออกแบบให้รองรับฟังก์ชันสมัยใหม่ เช่น การฝังวิดีโอและเสียงโดยไม่ต้องพึ่งพาปลั๊กอิน และรองรับแคนวาส (Canvas) สำหรับการสร้างกราฟิกและเกมในหน้าเว็บ HTML5 ยังสนับสนุนฟอร์มที่มีความซับซ้อน การใช้เซนเซอร์จากอุปกรณ์ และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เหมาะสำหรับการใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่

แต่ละเวอร์ชันของ HTML มีการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานและความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป HTML5 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดยังคงมีการปรับปรุงและเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ทำให้ HTML ยังคงเป็นเครื่องมือหลักในการพัฒนาเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับเทคโนโลยีสมัยใหม่

ประโยชน์ของ HTML

HTML ใช้เพื่อสร้างและจัดโครงสร้างเนื้อหาของหน้าเว็บ ทำให้เป็นภาษาหลักที่จำเป็นสำหรับการสร้างเว็บไซต์และเป็นพื้นฐานสำหรับการแสดงผลข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต นี่คือตัวอย่างการใช้งานหลัก ๆ ของ HTML:

  1. จัดโครงสร้างเนื้อหาเว็บ: HTML ใช้ในการกำหนดโครงสร้างของเนื้อหาบนหน้าเว็บ เช่น การสร้างหัวข้อ ข้อความ ย่อหน้า และการจัดรูปแบบให้เป็นลำดับชั้น นอกจากนี้ HTML ยังช่วยให้สามารถจัดหมวดหมู่และจัดระเบียบเนื้อหาให้เป็นที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหา
  2. สร้างลิงก์เชื่อมโยง: ด้วยฟังก์ชันไฮเปอร์เท็กซ์ HTML สามารถสร้างลิงก์ที่เชื่อมโยงไปยังหน้าเว็บอื่น ๆ ภายในหรือภายนอกเว็บไซต์ได้ ลิงก์เหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องได้รวดเร็ว ทำให้หน้าเว็บมีความน่าสนใจและช่วยเชื่อมต่อข้อมูลบนโลกออนไลน์เข้าด้วยกัน
  3. เพิ่มมัลติมีเดีย: HTML5 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดสามารถฝังมัลติมีเดีย เช่น ภาพ วิดีโอ และเสียง ลงในหน้าเว็บได้โดยไม่ต้องพึ่งพาปลั๊กอินเพิ่มเติม ทำให้เว็บเพจมีความหลากหลายมากขึ้น ผู้ใช้สามารถรับชมวิดีโอและฟังเสียงได้โดยตรงจากเว็บเบราว์เซอร์ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำคัญของ HTML ในยุคปัจจุบัน
  4. สร้างฟอร์มกรอกข้อมูล: HTML มีแท็กที่ใช้สร้างฟอร์มให้ผู้ใช้งานกรอกข้อมูล เช่น แบบฟอร์มการสมัครสมาชิก การลงทะเบียน และการติดต่อ ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลผู้ใช้งานและส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์เพื่อประมวลผลในขั้นต่อไป
  5. ทำงานร่วมกับ CSS และ JavaScript: HTML เป็นโครงสร้างพื้นฐานของหน้าเว็บและทำงานร่วมกับ CSS เพื่อปรับแต่งรูปลักษณ์และ JavaScript เพื่อเพิ่มฟังก์ชันที่ซับซ้อน HTML ช่วยกำหนดโครงสร้าง ขณะที่ CSS และ JavaScript เข้ามาเพิ่มสีสันและประสิทธิภาพ ทำให้หน้าเว็บดูน่าสนใจและมีการโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้มากขึ้น
  6. เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับ SEO: การใช้ HTML ในการจัดโครงสร้างข้อมูลอย่างถูกต้องช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น แท็กที่ใช้สำหรับหัวเรื่อง ลิงก์ และข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ใน HTML สามารถช่วยให้เว็บไซต์ได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นบนผลการค้นหา

HTML จึงมีความสำคัญมากต่อการพัฒนาเว็บไซต์สมัยใหม่ ช่วยให้การสร้างและการจัดการเนื้อหาทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ โดยเป็นภาษาหลักที่ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่าง HTML

นี่คือตัวอย่างของโค้ด HTML พร้อมคำอธิบายที่จะช่วยให้เข้าใจการทำงานของโครงสร้าง HTML พื้นฐาน:

โค้ด HTML

<!DOCTYPE html>
<html>
<head>
    <title>ตัวอย่างหน้าเว็บ HTML</title>
</head>
<body>
    <h1>ยินดีต้อนรับสู่หน้าเว็บของฉัน</h1>
    <p>นี่คือหน้าเว็บที่สร้างด้วย HTML โดยมีเนื้อหาและโครงสร้างเบื้องต้น</p>

    <h2>เกี่ยวกับเรา</h2>
    <p>เราคือเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเทคโนโลยีการพัฒนาเว็บ</p>

    <h2>ลิงก์ที่เป็นประโยชน์</h2>
    <ul>
        <li><a href="https://www.example.com">Example Website</a></li>
        <li><a href="https://www.anotherexample.com">Another Example</a></li>
    </ul>
</body>
</html>

คำอธิบายโค้ด HTML

  1. <!DOCTYPE html>: บรรทัดนี้เป็นการกำหนดประเภทของเอกสาร โดยบอกเบราว์เซอร์ว่าเอกสารนี้ใช้ภาษา HTML5 ซึ่งเป็นมาตรฐานล่าสุดของ HTML ทำให้เบราว์เซอร์รู้ว่าจะตีความหน้าเว็บนี้อย่างไร
  2. <html> และ </html>: แท็ก <html> และ </html> ครอบคลุมโค้ดทั้งหมดและบอกเบราว์เซอร์ว่านี่คือเอกสาร HTML โดยทุกอย่างภายในแท็กนี้จะถือเป็นส่วนหนึ่งของหน้าเว็บ
  3. <head> และ </head>: ส่วน <head> ใช้สำหรับเก็บข้อมูลเกี่ยวกับหน้าเว็บ เช่น ชื่อเรื่อง (<title>) และข้อมูลเมตาอื่น ๆ ที่ช่วยให้เบราว์เซอร์และเครื่องมือค้นหาเข้าใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหา แต่ส่วนนี้จะไม่แสดงผลบนหน้าเว็บโดยตรง
  4. <title>: แท็ก <title> ระบุชื่อของหน้าเว็บซึ่งจะแสดงอยู่บนแท็บของเบราว์เซอร์ ช่วยให้ผู้ใช้งานทราบชื่อของหน้าเว็บ และเครื่องมือค้นหาใช้ชื่อเรื่องนี้สำหรับการจัดอันดับเว็บไซต์
  5. <body> และ </body>: ส่วน <body> ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดที่จะแสดงบนหน้าเว็บ ซึ่งประกอบไปด้วยหัวข้อ ข้อความ และลิงก์
  6. <h1>: แท็ก <h1> เป็นแท็กหัวข้อที่สำคัญที่สุด ใช้สำหรับแสดงชื่อเรื่องหลักของหน้าเว็บ ข้อความภายใน <h1> จะปรากฏเป็นหัวข้อที่มีขนาดใหญ่และเด่นที่สุด
  7. <p>: แท็ก <p> ใช้สำหรับสร้างย่อหน้า (paragraph) ข้อความภายใน <p> จะแสดงเป็นบรรทัดยาว และสามารถแสดงคำอธิบายหรือรายละเอียดได้ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์
  8. <h2>: แท็ก <h2> ใช้สร้างหัวข้อย่อย ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า <h1> แต่ยังคงเป็นหัวข้อที่มีความสำคัญ โดยทั่วไปจะใช้ <h2> สำหรับหัวข้อรองและสามารถใช้ต่อเนื่องได้ เช่น สำหรับหัวข้อ “เกี่ยวกับเรา” และ “ลิงก์ที่เป็นประโยชน์”
  9. <ul> และ <li>: แท็ก <ul> ใช้สร้างรายการที่เรียงตามลำดับแบบไม่มีเลข (unordered list) ส่วน <li> ใช้กำหนดแต่ละรายการที่อยู่ใน <ul> ในตัวอย่างนี้ เราใช้รายการสำหรับแสดงลิงก์ที่เป็นประโยชน์ให้กับผู้ใช้
  10. <a href="URL">: แท็ก <a> ใช้สำหรับสร้างลิงก์ โดยใช้ href ระบุ URL ของหน้าเว็บปลายทาง เมื่อผู้ใช้คลิกลิงก์ จะถูกนำไปยัง URL ที่ระบุใน href ทำให้สามารถเข้าถึงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้

ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างพื้นฐานของ HTML ซึ่งประกอบไปด้วยส่วนต่าง ๆ ที่ช่วยจัดระเบียบเนื้อหาให้เบราว์เซอร์แสดงผลได้อย่างถูกต้องและเป็นระเบียบ

HTML เป็นภาษาหลักที่ใช้ในการสร้างโครงสร้างและจัดรูปแบบของหน้าเว็บ โดยประกอบด้วยแท็ก (Tags) ที่กำหนดว่าเนื้อหาต่าง ๆ เช่น ข้อความ รูปภาพ และลิงก์ จะถูกจัดเรียงและแสดงผลอย่างไร HTML เป็นรากฐานสำคัญของเว็บไซต์ที่ทำให้เบราว์เซอร์สามารถตีความและแสดงข้อมูลได้อย่างถูกต้อง ในเวอร์ชันล่าสุด HTML5 มีความสามารถในการรองรับมัลติมีเดียและการโต้ตอบที่หลากหลายมากขึ้น โดยไม่ต้องใช้ปลั๊กอินเพิ่มเติม ทำให้ HTML ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเว็บไซต์สมัยใหม่

แหล่งศึกษาเพิ่มเติม

นี่คือแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือสำหรับการเรียนรู้ HTML พร้อมลิงก์ไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง:

  1. Mozilla Developer Network (MDN) – คู่มือ HTML โดยละเอียดจาก Mozilla พร้อมบทความและตัวอย่างเชิงลึก
    MDN HTML Documentation
  2. freeCodeCamp – เว็บไซต์เรียน HTML ที่มีคอร์สฟรีสำหรับผู้เริ่มต้น รวมถึงการฝึกปฏิบัติในโค้ดโดยตรง
    freeCodeCamp HTML Guide
  3. Codecademy – แพลตฟอร์มการเรียน HTML แบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่ผู้เรียนสามารถฝึกเขียนโค้ดได้ทันที
    Codecademy HTML Course
  4. Web.dev by Google – ทรัพยากรจากทีม Chrome ที่สอน HTML พร้อมแนวทางการใช้งานแบบมืออาชีพ
    Web.dev HTML Course

แหล่งข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คุณเข้าใจพื้นฐาน HTML และเพิ่มพูนความรู้ได้ในหลายระดับ ตั้งแต่ผู้เริ่มต้นไปจนถึงขั้นสูง